“อาจารย์ 3 นิ้ว” ฉะ “พิมรี่พาย” เป็นพวก “เศรษฐกิจการโปรดสัตว์ สนองตัณหาความฟีลกู๊ด”

ข่าวการเมือง

รศ.ดร. ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี ได้โพสใจเฟซบุ๊กเพจของตัวเอง ข้อความว่า

ความฝันมันสร้างกันง่ายๆด้วยการติดทีวีให้ดู ติดแผงโซล่าเซลล์ หาเกิบให้เด็กใส่ เอาไฟฉายติดให้บนหัว เลิก “ถางภูเขาเป็นลูกๆ” และ “สอน” ชาวบ้านให้หัดรู้จักปลูก “ผักสลัด”

มันไม่ใช่ความฝันของเด็กดอยหรอกแบบนี้ มันความฝันอยากจะโปรดสัตว์ชนชั้นล่าง ของพวกชนชั้นกลางในเมืองที่ไม่เคยรู้/สนห่าเหวอะไรเลยเกี่ยวกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ การเบียดขับชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย และการตัดขาดพวกเขาออกจากการเข้าถึงทุกอย่างในสังคม ที่อย่าว่าแต่ทีวีเลย ลำพังแค่จะทำไร่ปลูกข้าวให้มันพอกินในที่ดินที่พวกป่าไม้ยึดครอง ยัง “ขัดตา”พวกชนชั้นกลางในเมืองเลย

เศรษฐกิจการโปรดสัตว์ สนองตัณหาความฟีลกู๊ดของพวกคนในเมืองสร้างกำไรเสมอ โดยเฉพาะในวันเด็กแบบนี้

ต่อมาได้โพสเพิ่มเติมว่า

ไม่เคยบริจาคเงินให้พวกเด็กชาวเขาเป็นหลายแสนหรอกนะคะ เพราะไม่ได้ร่ำรวย และไม่เคยคิดว่าการบริจาคเงินเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้กับกลุ่มชาติพันธุ์

แต่ถ้าถามสิ่งที่เคยทำมาในฐานะที่เป็นนักวิชาการ เคยไปขึ้นศาลช่วยคดีชาวบ้านกะเหรี่ยงที่อมก๋อยนี่ล่ะค่ะ ถูกป่าไม้ฟ้องไล่จับจะขังคุกข้อหาตัดไม้ทำไร่ เอางานวิจัยเรื่องไร่หมุนเวียนที่ทำนี่ล่ะค่ะ ไปให้ศาลอ่าน เพื่อจะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า ระบบวิถีชีวิตของชาวบ้านบนดอยนั้นเป็นอย่างไร ตลอดชีวิตทำงานวิจัยที่ผ่านมา ตลอดจนการทำงานเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่งานวิจัย พยายามทำให้คนชนชั้นกลาง และรัฐ เข้าใจผู้คนบนดอยมากขึ้นมาตลอด

อย่างที่บอกในโพสต์ค่ะ ความฝันไม่ได้สร้างกันง่ายๆด้วยการติดทีวีให้ดู การให้นั้นไม่ใช่เรื่องผิดหรือถูก แต่อย่าใช้การให้มากล่าวอ้างว่าเป็นการสร้างความฝันให้คน และอย่าใช้วาทกรรมความขาดแคลนทางวัตถุ มาปิดบังโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมที่กลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูงเผชิญมาตลอด

ซึ่งได้มีผู้มาแสดงความเห็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เช่น

ฝ่ายเห็นด้วย เช่น

ตามเมนท์ทัวร์ต่างๆ นี่คือ myth ชาวเขาที่รัฐส่วนกลางทำมานานมันโคตรฝังรากลึก ประกอบสร้างความไกล และสร้างตรรกะ ว่าไกล = ไม่รับรู้โลกภายนอก แถมข้อกล่าวหาว่าทำไร่เลื่อนลอยก็ยังใช้กันอยู่ คือแบบ พวกมึงรู้ตัวไหมว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา อนุรักษ์ทรัพยากรภูเขาเพื่อให้คนเมืองล้างผลาญแล้วมาห้ามเขาใช้ พอเขาจนแล้วก็ยังได้สำเร็จความไคร่ทางศีลธรรมได้อีก พวกแม่งนี่ทำตัวไม่ต่างกะรัฐไทยที่พวกแม่งด่าๆ กันเลย

 

เห็นด้วยครับ คล้ายๆ โครงการ พอ… อะไรเพียงๆ… ซักอย่างป่ะครับ ที่สนองตัณหาความฟีลกู้ด (ที่อาจารย์บอก) แต่เป็นฟีลกู้ดของชนชั้นสูง ให้บอกคนรากหญ้าว่าอยู่แบบพอ… เพียงอ่ะดีแล้ว โครงสร้างระบบชนชั้นทางสังคมแบบนี้มันเป็นอยู่อ่ะดีแล้ว ส่วนข้างบนๆ ก็สบายๆ กันไป

ฝ่ายไม่เห็นด้วย เช่น

อาจารย์ก็ช่วยเหลือชาวบ้านในทางที่นักวิชาการควรจะทำ พิมรี่พายก็ช่วยเหลือในสิ่งที่เขาทำได้ แถมยิ่งเขามาบริจาคแผงโซลาร์เซลส์ให้ชุมชนได้ใช้พลังงานสะอาด ไม่ต้องง้อไฟฟ้าของรัฐ ไม่ต้องถูกดูดเข้าไปในระบบการเอารัดเอาเปรียบในโครงสร้างการพลังงานของรัฐด้วยอีก มันก็ยิ่งโคตรดี

ทำไมเหรอ? การที่คนอื่นทำความดีตามแนวทางตัวเองโดยไม่เดินตามตูดอาจารย์นี่ จะต้องไปบลัฟให้เขากลายเป็นความเลวเหรอ? เออ และอีกอย่างสิ่งที่อาจารย์อ้างว่าทำ น่าจะเรียกว่าเป็นหน้าที่มากกว่านะ อาจารย์กินเงินเดือนภาษีพวกผมในฐานะผู้ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม อย่ามาอ้างว่าทำฟรีนะ

 

5555 เธอทำงานวิจัยอออกมาเพื่อเป็นผลงานตัวเองแต่ก็ไร้ซึ่งประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ส่วนพิมพรี่ใช้ชื่อเสียงที่มีในโซเชี่ยลปลูกกระแสความเหลื่อมล้ำและหยิบยื่นความมีน้ำใจที่ให้ด้วยใจของชนชั้นกลางด้วยใจจริงโดยไม่ต้องพูดเยอะอะไรทำตรงๆนี่แหละ ไม่เหมือนคุณนะงานที่ทำออกมาหาคนได้ประโยชน์ค่อนข้างยาก

 

เป็นโพสต์ที่ไม่ได้มีแง่คิดที่ดีหรือไม่มีวาทกรรมสร้างสรรค์ใดๆเลย เทียบกับคนที่ตัวเองพาดพิงไม่ได้สักนิด อย่าหาเอาความคิดแคบๆของตัวเองไปก้าวก่ายความฝันใคร อย่าหาเอาความคิดเรื่องการแก้ปัญหาเชิงโคร้งสร้างไปโยนให้เป็นหน้าที่ของคนนั้นคนนี้อีกนะ อย่าหาทำ

 

ความเห็นแบบนี้นี่เขาเรียก “มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ” ครับ บางคนไม่รู่้เป็นอะไร ตัวสั่นริกๆ เวลาเห็นคนอื่นทำดี ขั้นต่ำก็คือ “อิจฉา” แต่สามารถพัฒนาไปเป็น “ริษยา” ได้ ซึ่งจะอันตรายได้

 

เราไม่ได้ติ่งพรพ. แต่เราอยากตั้งคำถามว่า คนที่เป็นถึงดร. เป็นอาจารย์ เขียนงานวิจัยมามากมาย แต่กลับใช้คำพูดเหยียดคนอื่น เอาความคิดของตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล มองโลกแค่ในด้านที่ตัวเองคิด แล้วเหยียดคนอื่นว่าโง่ อวยว่าตัวเองฉลาดมีความรู้มากกว่าเพราะเป็นนักวิชาการทำวิจัยมามากมาย ยึดติดกับหัวโขนที่ตัวเองมี แบบนี้หรอคะถึงจะเรียกว่าปัญญาชนผู้ที่เจริญแล้ว?

พรพ.เป็นแม่ค้า เป็นแค่ประชาชนคนหนึ่ง ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมได้หรอกค่ะ เธอแค่ทำในสิ่งเล็กๆที่คิดว่าตัวเองพอทำได้ คุณเป็นนักวิชาการทำวิจัยมามากมาย มีความรู้มากกว่าคนอื่น ฉลาดกว่าคนอื่นด้วยคำนำหน้าว่าดร. แล้วทำไมถึงไม่เข้าไปแก้ปัญหาที่คุณพูดมาล่ะ

ถ้ามันทำได้ง่ายแล้วใครๆก็ทำได้ ต่อให้คุณทำวิจัยเล่มที่ล้านแต่ปล่อยให้คนบนดอยมีชีวิตที่ยากแค้นขาดแคลนต่อไป เกิดและตายไปด้วยวิถีชีวิตแบบเดิมๆ งานวิจัยของคุณมันก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เพราะตัวหนังสือมันได้แต่อยู่ในห้องสมุดมหาลัย ให้พวกนศ.อ่านและอวยคนเขียน งานวิจัยมีประโยชน์แค่นั้นแต่ไม่มีActionอะไรเลยในด้านการพัฒนาจริงๆ