(26 ธ.ค.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 15) โดยมีเนื้อหาสรุป ว่า ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2563 และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไปเป็นคราวที่ 8 จนถึงวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 นั้น
โดยที่รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันและระงับยับยั้งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวได้ผลดีขึ้นเป็นลำดับ
ราชกิจจาฯ ประกาศเพิ่มระยะเวลาอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวก อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
ต้องปิดเล่งเน่ยยี่2! หลังพบ 2 แม่ครัวพม่าป่วย ‘โควิด’ เปิดไทม์ไลน์-หาตัวแท็กซี่
ป่วยอีกคน! พ่อค้านครสวรรค์ติด ‘โควิด’ รายที่ 2 ตรวจไทม์ไลน์พบไปหลายจังหวัด
อย่างไรก็ตาม เมื่อปัจจุบันพบการระบาดของโรคระลอกใหม่ขึ้นในบางเขตพื้นที่ รัฐบาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการกระชับและยกระดับบรรดามาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อเข้าแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงทีเพื่อป้องกันมิให้เกิดการระบาดลุกลามเป็นวงกว้างต่อไป อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534
นายกรัฐมนตรี จึงออกข้อกำหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลาย อาทิ ข้อ 3 การห้ามชุมนุมห้ามมิให้มีการชุมนุม การทำกิจกรรม หรือการมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัดหรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยองกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย, การสวมหน้ากากอนามัย, การรักษาระยะห่างทางสังคม, จุดบริการเจอแอลกอฮอล์ และทำความสะอาดฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อให้ผู้โดยสารที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานมั่นใจปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด -19