ความเหลื่อมล้ำทางสังคม (Social inequality) เกิดขึ้นเมื่อทรัพยากรในสังคมมีการกระจายอย่างไม่เสมอภาค ซึ่งก่อให้เกิดแบบรูปจำเพาะตามแนวจำพวกของบุคคลที่นิยามทางสังคม การเข้าถึงสินค้าสังคมในสังคมนั้นมีความแตกต่างกันเป็นลำดับมีสาเหตุจากอำนาจ ศาสนา เครือญาติ เกียรติภูมิ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ เพศ อายุ รสนิยมทางเพศและชนชั้น ความเหลื่อมล้ำปกติส่อความหมายถึงความไม่เสมอภาคของผลลัพธ์ แต่อาจสรุปอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเป็นความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงโอกาส สิทธิทางสังคม ประกอบด้วยตลาดแรงงาน บ่อเกิดของรายได้ บริการสาธารณสุข เสรีภาพในการพูด การศึกษา การมีผู้แทนทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางสังคมนี้มีความเชื่อมโยงกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ปกติอธิบายบนพื้นฐานของการกระจายรายได้หรือความมั่งคั่งอย่างไม่เสมอภาค และเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมชนิดที่มีการศึกษาอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์และสังคมวิทยาโดยทั่วไปใช้แนวทางเข้าสู่ทางทฤษฎีต่างกันเพื่อพิจารณาและอธิบายความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แต่ทั้งสองวิชาก็วิจัยความเหลื่อมล้ำนี้เหมือนกัน อย่างไรก็ดีทรัพยากรสังคมและธรรมชาติก็มีการกระจายอย่างไม่เท่าเทียมในสังคมส่วนใหญ่นอกเหนือไปจากทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และอาจช่วยส่งเสริมสถานภาพทางสังคมของบุคคล บรรทัดฐานของการจัดสรรยังมีผลต่อการกระจายสิทธิและเอกสิทธิ์ อำนาจทางสังคม การเข้าถึงสินค้าสาธารณะ เช่น การศึกษาหรือระบบตุลาการ การเคหะที่เพียงพอ การขนส่ง เครดิตและบริการทางการเงิน เช่น การธนาคาร ตลอดจนสินค้าและบริการทางสังคมอื่น
หลายสังคมทั่วโลกต่างอวดอ้างว่าตนเป็นคุณธรรมนิยม หมายความว่า การกระจายทรัพยากรในสังคมอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรมหรือความดี (merit) แม้ว่าคุณธรรมนี้จะมีผลอยู่บ้างในบางสังคม แต่งานวิจัยแสดงว่าการกระจายทรัพยากรในสังคมมักเป็นไปตามการแบ่งประเภททางสังคมแบบมีลำดับชั้นจนไม่อาจเรียกสังคมเหล่านั้นว่า “คุณธรรมนิยม” ได้ ด้วยเหตุที่บุคคลที่มีสติปัญญา ความสามารถหรือคุณธรรมเป็นพิเศษก็ตามยังไม่อาจชดเชยการถูกเอาเปรียบทางสังคมที่เขาเหล่านั้นเผชิญ ในหลายกรณี ความเหลื่อมล้ำทางสังคมเชื่อมโยงกับความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติ ชาติพันธุ์และเพศ ตลอดจนสถานภาพทางสังคม ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้อาจเกี่ยวข้องกับการฉ้อราษฎร์บังหลวง
ตัวชี้วัดความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ใช้บ่อยสุดในการเปรียบเทียบในประเทศต่าง ๆ ได้แก่ สัมประสิทธิ์จีนี อย่างไรก็ดี ประเทศที่มีสัมประสิทธิ์จีนีเท่ากันแต่มีเศรษฐกิจ และ/หรือ คุณภาพชีวิตต่างกันมากก็ได้ ฉะนั้นจึงต้องนำมาเปรียบเทียบโดยใช้บริบทอื่นประกอบด้วย
ภาพรวม
ความเหลื่อมล้ำทางสังคมพบในเกือบทุกสังคม ความเหลื่อมล้ำทางสังคมนั้นเกิดขึ้นจากปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายประการ เช่น ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และสถานภาพพลเมือง และมักมีวจนิพนธ์ทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์มานิยาม เช่น คนจน “สมควร” (สาเหตุเกิดจากคนคนนั้นเอง) หรือ “ไม่สมควร” หรือไม่ ในสังคมเรียบง่าย ผู้ที่มีบทบาทและสถานภาพทางสังคมน้อยกว่าสมาชิกอื่น ความเหลื่อมล้ำทางสังคมอาจมีต่ำมาก ตัวอย่างเช่นในสังคมชนเผ่า หัวหน้าเผ่าอาจมีเอกสิทธิ์บางอย่าง ใช้เครื่องมือบางชนิด หรือสวมสัญลักษณ์ประจำตำแหน่งที่ผู้อื่นห้ามสวม แต่ชีวิตประจำวันของหัวหน้าเผ่านั้นก็แทบไม่ต่างจากสมาชิกเผ่าคนอื่น นักมานุษยวิทยาเรียกวัฒนธรรมที่มีความสมภาคสูงนี้ว่า “เน้นความเป็นญาติ” (kinship-oriented) ซึ่งดูจะให้ค่าแก่ความปรองดองทางสังคมมากกว่าความมั่งคั่งหรือสถานภาพ วัฒนธรรมดังกล่าวแตกต่างจากวัฒนธรรมที่เน้นวัตถุซึ่งมีการให้รางวัลสถานภาพและความมั่งคั่ง ซึ่งมีการแข่งขันและความขัดแย้งเกิดขึ้นทั่วไป นอกจากนี้วัฒนธรรมเน้นความเป็นญาติอาจมุ่งมั่นขัดขวางมิให้เกิดลำดับชั้นทางสังคมเสียด้วยซ้ำ เพราะเชื่อว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งและขาดเสถียรภาพ ในโลกปัจจุบัน ประชากรส่วนใหญ่ของโลกอาศัยอยู่ในสังคมซับซ้อน และยิ่งสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามช่องว่างระหว่างคนจนสุดและรวยสุดในสังคม
ความเหลื่อมล้ำทางสังคมสามารถจำแนกได้เป็นสังคมสมภาค (egalitarian), สังคมมีชนชั้น (ranked) และสังคมมีการจัดช่วงชั้น (stratified) สังคมสมภาคได้แก่ชุมชนที่ส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคมผ่านโอกาสและสิทธิเท่าเทียมกัน ฉะนั้นจึงไม่มีการเลือกปฏิบัติ บุคคลที่มีทักษะพิเศษไม่ถูกมองว่าเหนือกว่าคนที่เหลือ ผู้นำไม่มีอำนาจมีแต่อิทธิพล บรรทัดฐานและความเชื่อของสังคมสมภาคสนับสนุนการแบ่งปันและมีส่วนร่วมอย่างเท่ากัน ถัดมาสังคมมีชนชั้นส่วนใหญ่เป็นชุมชนเกษตรกรรมที่มีการจัดกลุ่มแบบลำดับชั้นจากหัวหน้าซึ่งมองว่ามีสถานภาพในสังคม ในสังคมนี้มีการจัดจำแนกบุคคลตามสถานภาพและเกียรติภูมิ ไม่ใช่ตามการเข้าถึงอำนาจและทรัพยากร หัวหน้าเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด ตามด้วยครอบครัวและญาติของหัวหน้า และผู้ที่เกี่ยวดองกับเขาลดลงก็มีชนชั้นต่ำลงไปด้วย สังคมมีการจัดช่วงชั้นเป็นสังคมที่จัดบุคคลในแนวดิ่งเป็นชนชั้นสูง ชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง การจัดจำแนกนี้คำนึงถึงทั้งความมั่งคั่ง อำนาจและเกียรติภูมิ ชนชั้นสูงส่วนใหญ่เป็นผู้นำและผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในสังคม ทั้งนี้บุคคลสามารถเลื่อนจากชนชั้นหนึ่งไปอีกชนชั้นหนึ่งได้ และสถานภาพทางสังคมสามารถสืบทอดจากรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่งได้
มีความเหลื่อมล้ำทางสังคม 5 ระบบหรือชนิด ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่ง ความเหลื่อมล้ำของการปฏิับติและความรับผิดชอบ ความเหลื่อมล้ำทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำในชีวิต และความเหลื่อมล้ำของสมาชิกภาพ; ความเหลื่อมล้ำทางการเมืองเป็นความแตกต่างที่เเกิดจากความสามารถเข้าถึงทรัพยากรภาครัฐ จึงไม่มีความเสมอภาคของพลเมือง สำหรับความแตกต่างทางการปฏิบัติและความรับผิดชอบ บุคคลบางกลุ่มได้รับประโยชน์มากกว่าและได้เเอกสิทธิ์เร็วกว่าคนอื่น ในสถานีงาน บางกลุ่มมีความรับผิดชอบมากกว่า จึงได้รับค่าตอบแทนมากกว่าและผลประโยชน์ดีกว่ากลุ่มที่เหลือแม้มีคุณวุฒิเท่ากัน; ความเหลื่อมล้ำของสมาชิกภาพคือจำนวนสมาชิกในครอบครัว ชาติหรือศาสนา ความเหลื่อมล้ำของชีวิตเกิดจากความไม่เสมอภาคของโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนคนนั้น สุดท้ายความเหลื่อมล้ำของรายได้และความมั่งคั่งนั้นเกิดจากมีรายได้รวมไม่เท่ากัน
ตัวอย่างสำคัญของความเหลื่อมล้ำทางงสังคม ได้แก่ ช่องว่างของรายได้ ความเหลื่อมล้ำทางเพศ สาธารณสุขและชนชั้นทางสังคม ในด้านสาธารณสุข บุคคลบางกลุ่มได้รับการรักษาดีกว่าและเป็นวิชาชีพมากกว่ากลุ่มอื่น ความแตกต่างของชนชั้นทางสังคมยังประจักษ์ชัดในระหว่างการชุมนุมสาธารณะโดยที่ชนชั้นสูงได้รับที่นั่งดีที่สุด รวมทั้งการได้รับการต้อนรับและได้รับจัดลำดับความสำคัญก่อน
สถานภาพในสังคมมี 2 ประเภท แบ่งเป็นลักษณะที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (ascribed) และลักษณะที่หามาได้ภายหลัง (achieved) ลักษณะที่ติดตัวมาแต่กำเนิดคือเกิดมาพร้อมกับมีลักษณะนั้น หรือได้รับกำหนดจากผู้อื่นซึ่งบุคลนั้นควบคุมแทบไม่ได้โดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น เพศ สีผิว รูปทรงตา สถานที่เกิด เพศสภาพ อัตลักษณ์ทางเพศ บิดามารดาและสถานภาพทางสังคมของบิดามารดา ลักษณะที่หามาได้ภายหลัง ได้แก่ ลักษณะที่บุคคลประสบความสำเร็จหรือเลือกเอง เช่น ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส สถานะความเป็นผู้นำ และการชี้วัดคุณธรรมอย่างอื่น ในบางสังคม สถานภาพทางสังคมเกิดจากปัจจัยติดตัวมาแต่กำเนิดและที่หามาได้ภายหลังผสมกัน อย่างไรก็ดี ในบางสังคมคำนึงเฉพาะปัจจัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิดในการตัดสินสถานภาพทางสังคมของบุคคล ฉะนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคมน้อยถึงไม่มีเลย และช่องทางให้เกิดความเสมอภาคทางสังคมน้อยตามไปด้วย ความเหลื่อมล้ำทางสังคมประเภทนี้ทั่วไปเรียก ความเหลื่อมล้ำทางวรรณะ (caste)
ที่ทางทางสังคมของบุคคลในโครงสร้างภาพรวมของสังคมชนิดที่มีการจัดช่วงชั้นเป็นเหตุและผลของแทบทุกแง่มุมชีวิตสังคมและโอกาสในชีวิตของบุคคล ตัวชี้วัดดีที่สุดเลือกมาตัวเดียวที่บอกสถานภาพทางสังคมในอนาคตของบุคคล คือ สถานภาพทางสังคมที่เขาผู้นั้นเกิดมา แนวทางเข้าสู่ทางทฤษฎีที่อธิบายความเหลื่อมล้ำทางสังคมมุ่งสนใจปัญหาว่าการจำแนกทางสังคมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีการจัดสรรทรัพยากรประเภทใด (ตัวอย่างเช่น ปริมาณสำรองหรือทรัพยากร) บทบาทของความร่วมมือและความขัดแย้งของมนุษย์ในการจัดสรรของทรัพยากรคืออะไร และความเหลื่อมล้ำประเภทและแบบต่าง ๆ มีผลต่อการทำหน้าที่โดยรวมของสังคมอย่างไร
ตัวแปรที่พิจารณาว่ามีความสำคัญสูงสุดในการอธิบายความเหลื่อมล้ำและรูปแบบที่ตัวแปรเหล่านั้นประกอบกันให้เกิดความเหลื่อมล้ำและผลลัพธ์ทางสังคมในสังคมหนึ่ง ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงได้ตามกาละเทศะ นอกเหนือไปจากความสนใจในการเปรียบเทียบและหาความแตกต่างของความเหลื่อมล้ำทางสังคมในระดับท้องถิ่นและรดับชาติ ในห้วงกระบวนการโลกาภิวัฒน์สมัยใหม่ ก่อให้เกิดคำถามน่าสนใจว่า ความเหลื่อมล้ำในระดับโลกมีลักษณะเป็นอย่างไร และความเหลื่อมล้ำระดับโลกเช่นนั้นจะเป็นอย่างไรในอนาคต ผลของโลกาภิวัฒน์ลดระยะทางของกาละเทศะ ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระดับโลกซึ่งวัฒนธรรมและสังคม และบทบาททางสังคมซึ่งสามารถเพิ่มความเหลื่อมล้ำระดับโลกให้สูงขึ้น
เครดิต https://th.wikipedia.org/wiki/ความเหลื่อมล้ำทางสังคม